วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2556

ดอกกล้วยไม้ราตรี

                                                   ดอกกล้วยไม้ราตรี


                                  


     ดอกกล้วยไม้ราตรี เป็นดอกไม้ประจำชาติอินโดนีเซีย ชื่อสามัญคือ Moon Orchid ลักษณะทั่วไปของกล้วยไม้ชนิดนี้สังเกตได้จากเปลือกเนื้อในเสมอกัน ลำต้นแท้มีข้อและปล้องเหมือนพืชใบเลี้ยงเดี่ยวทั่วไป เจริญเติบโตทางยอด 

ใบเลี้ยงเดี่ยวมีลักษณะต่างกันออกไป รูปร่างลักษณะใบเป็นแถบยาวหรือกลมยาว แผ่นใบคล้ายใบหมาก หนาและอวบน้ำ กลีบดอกสีขาวอมม่วง

พรรณไม้ชนิดนี้ชอบอากาศชื้น จึงพบเห็นได้ไม่ยากบริเวณพื้นที่ราบต่ำของอินโดนีเซีย จัดเป็นดอกกล้วยไม้ที่บานอยู่ได้นานที่สุด ช่อดอกนั้นสามารถแตกกิ่งและอยู่ได้นาน 2-6 เดือน จะบานแค่ปีละ 2-3 ครั้งเท่านั้น

ดอกเฟื่องฟ้า

                                   
                                       ดอกเฟื่องฟ้า

                             


ชื่อสามัญ  Bougainvillea
ชื่อวิทยาศาสตร์ Bougainvillea spp.
ตระกูล  NYCTAGINACEAE
ประเภท  ไม้เถาเลื้อย 
ถิ่นกำเนิด   บราซิล
ลักษณะทั่วไป 
เฟื่องฟ้าเป็นพรรณไม้ยืนต้นขนาดกลางประเภทเถาเลื้อย ลำต้นมีความยาวประมาณ 1-10 เมตร มีลำเถาแข็งแรงเลื้อยไปได้ไกล ผิวลำต้นสีเทาหรือสีน้ำตาล
ลำต้นมีหนามคมแหลมยาวประมาณ 0.51 เซนติเมตรติดอยู่เป็นระยะๆลักษณะของทรงพุ่มสามารถตัดแต่ง และ บังคับทิศทางการเจริญเติบโตได้ใบเป็นใบ
เดี่ยวแตกตามเถาลักษณะรูปไข่ปลายใบแหลมโคนใบมนขอบใบเรียบพื้นใบ ใบมีสีเขียว ขนาดใบกว้าง 2 - 4 เซนติเมตร ยาวประมาณ 4-5 เซนติเมตร ดอก
ออกเป็นช่อตามส่วนยอด มีกลีบดอกหรือใบประดับ 3 กลีบ ส่วนดอกจะมีดอกเล็กสีขาว กลีบดอกจะมีขนาดและสี สรรแตกต่างกันตามชนิดพันธุ์ 
พันธุ์เฟื่องฟ้าที่ปลูกเป็นไม้มงคล
1. พันธุ์ดอกสีแดง ได้แก่ แดงจินดา แดงรัตนา แดงบานเย็น ตรุษจีนด่าง สาวิตรี กฤษณา
2. พันธุ์ดอกสีขาว ได้แก่ ทัศมาลีดอกขาว ขาวน้ำผึ้ง สุมาลี สุวรรณี
3. พันธุ์ดอกสีชมพู ได้แก่ ชมพูจินดา ชมพูทิพย์ ชมพูนุช 
4. พันธุ์ดอกสีม่วง ได้แก่ ม่วงประเสริฐศรี พรสุมาลี ม่วงกฤษณา ทัศมาลี
5. พันธุ์ดอกสีส้ม ได้แก่ สุมาลีสีทอง
6. พันธุ์ดอกสีเหลือง ได้แก่ เหลืองอรทัย
การเป็นมงคล
คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นเฟื่องฟ้าไว้ประจำบ้าน สามารถสร้างคุณค่าของชีวิตให้สูงขึ้น เพราะเฟื่องฟ้าเป้นพรรณไม้ ที่ได้รับสมญาว่าเป็นราชินี
แห่งไม้ประดับเนื่องจากสามารถนำเฟื่องฟ้าไปใช้ประโยชน์ในด้านสุนทรียภาพเพื่อประดับสวนอาคาร  บ้านเรือนและสถานที่สำคัญต่างๆนอกจากนี้คนไทย
โบราณยังมีความเชื่ออีกว่าเฟื่องฟ้าเป็นไม้มงคลทำสำคัญของเทศกาลตรุษจีน เพราะต้นเฟื่องฟ้าสามารถออกดอกสะพรั่งในช่วงเทศกาลตรุษจีนจึงทำให้
บางคนเรียกต้นเฟื่องว่าว่าต้นตรุษจีนดังนั้นบางคนเชื่อว่า เมื่อช่วงดอกเฟื่องฟ้าบานแสดงถึง ความเบิกบาน สว่างไสว ความรุ่งเรือง ที่ก้าวไกลแห่งชีวิต
การขยายพันธุ์ ขยายพันธุ์ โดยวิธีการปักชำ ตอน การเสียบยอด
สภาพที่เหมาะสม
น้ำ    ต้องการปริมาณน้ำปานกลาง ควรให้น้ำ 3 - 5 วัน/ครั้ง
ดิน    ดินร่วนซุย ความชุ่มชื้นสม่ำเสมอ
ปุ๋ย  ควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ต้น ใส่ปีละ 4-6 ครั้งหรือใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ สูตร 15-15-15 อัตรา200-300 กรัม/ต้น ใส่ปีละ 4-6
ครั้ง
โรคและแมลง  ไม่ค่อยมีปัญหาในเรื่องโรค ส่วนแมลงนั้นจะมีเพลี้ยรบกวนบ้างในบางครั้ง แต่ควรระวังอย่าให้น้ำขังแฉะเพราะจะทำให้รากเน่า การป้องกัน
กำจัด ใช้ยาฉีดพ่นโดยใช้ ไดอาชินอน ตามที่ระบุไว้ในฉลากยา

ดอกเข็ม

                                                             ดอกเข็ม

                       

              ต้นเข็มหรือดอกเข็มคนนิยมปลูกกันมากมายตามบ้านและสถานที่ต่างๆ นิยมปลูกเป็นกลุ่มเป็นพุ่ม บางบ้านนำมาใช้แทนกำแพงบ้านกันเลยทีเดียว?ดอกเข็มมีหลากหลายชนิดและหลายสี ดอกเข็มนิยมนำมาใช้ทางพุทธศาสนาด้วยเช่นกันเพราะดอกเข็มใช้แทนความจริงใจ และความเคารพและศัทธาคนๆนั้น เช่นใช้ไหว้ขอชมาครูบาอาจารย์ และสิ่งที่เป็นสิริมงคลอื่นๆ การปลูกต้นเข็มนั้นจะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลได้ดี และดอกเข็มนี้ยังนำไปทำเป็นอาหารได้ด้วย แต่เราไม่นิยมนำมาทานกันส่วนใหญ่จะปลูกเพื่อความสวยซะมากกว่า ต้นเข็มนั้นปลูกง่ายทนฝนทนแดดมากปลูกในสภาพอากาศแบบไหนก็ได้แต่ถ้าสภาพอากาศชื้นจะทำให้ดอกบานสวยสดมากๆจ๊า

ชบา




                                             ชบา

                      


ชบามีถิ่นกำเนิด จาก ประเทศจีน ที่มีความผันแปรทั้งรูปทรงของใบ ลำต้น และดอกมาก ตลอดจนปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ง่าย จากความสวยงามของดอกทำให้ได้รับสมญาว่า Queen of Tropic Flower หรือ ราชินีแห่งไม้ดอกเมืองร้อน เป็นดอกไม้ประจำชาติของมาเลเซียและจาไมก้า และเป็นดอกไม้ประจำรัฐฮาวาย ส่วนในศาสนาฮินดูถือว่าเป็นดอกไม้ของเจ้าแม่กาลี


ลักษณะทางพฤษศาสตร์
    ชบาเป็นไม้พุ่มขนาด 1-3 เมตร อาจสูงได้ถึง 7-10 เมตร ใบรูปไข่กว้าง ปลายใบแหลมเรียว ขอบใบจักหรือขอบใบเรียบ ดอกออกตามซอกใบใกล้ปลายยอด ก้านดอกยาว ชบาเป็นดอกที่สมบูรณ์ ดอกมีทั้งดอกชั้นเดียวและดอกซ้อน กลีบเลี้ยงมีสีเขียว กลีบดอกมีหลายสี เช่น สีขาว ม่วง เหลือง ส้ม ชมพู แดง มีทั้งดอกใหญ่และดอกเล็ก ถ้าดอกชั้นเดียวจะมี 5 กลีบ ชบามีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย เกสรตัวผู้เป็นดอกยาวยื่นขึ้นมากลางดอก ปลายสุดเป็นยอดเกสรตัวเมีย แยกเป็น 5 แฉกสีแดง เกสรตัวผู้ติดรอบๆ
สรรพคุณ
ดับร้อนและแก้ไข้ : ใช้ดอกชบา 4 ดอกแช่ในน้ำต้มสุก 2 แก้ว แล้วดื่มต่างน้ำ จะช่วยดับร้อนผ่อนกระหายและแก้ไข้ได้ดี
รักษาโรคผิวหนังที่เกิดจากเชื้อรา : ใช้เปลือกต้น 50 กรัม แช่ในแอลกอฮอล์ 150 ซีซี นานหนึ่งวัน แล้วกรองเอาแต่น้ำยาไว้ทาบริเวณที่เป็นเชื้อรา
รักษาแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก : ใช้ใบชบาหรือฐานดอกก็ได้มาตำให้แหลก แล้วเอามาพอกบริเวณที่ถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวก น้ำเมือกจากใบจะช่วยรักษาแผลได้เป็นอย่างดี
บำรุงผม : ใช้ใบชบาหนึ่งกำมือมาล้างให้สะอาด ตำให้แหลก เติมน้ำเล็กน้อย แล้วคั้นเอาแต่น้ำ กรองเอากากทิ้ง แล้วใช้น้ำเมือกจากใบชบาสระผม ช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก และบำรุงเส้นผมให้ดกดำเป็นเงางาม
วิสัยพืช (Plant habit) : ไม้พุ่มขนาดเล็ก ลำต้นตั้งตรง แตกกิ่งก้านเป็นพุ่มแน่น เปลือกสีเทาปนน้ำตาล
ฤดูที่ดอกบาน (Bloom Time) : ตลอดปี



กุหลาบ

     



                           



                         




      กุหลาบ (อังกฤษroseชื่อวิทยาศาสตร์Rosa hybrids) เป็นดอกไม้ที่ได้รับความนิยมปลูกมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลกที่มีต้นกำเนิดจากทวีปเอเชีย ผู้คนนิยมปลูกเพื่อความสวยงาม ตกแต่งสวน, ประดับตกแต่งบ้าน, ประดับสถานที่, ปลูกเพื่อการพาณิชย์ อาทิ เพื่อนำไปสกัดน้ำหอม นำไปทำเป็นส่วน
ประกอบของสปา เป็นต้น

กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการปลูกเป็นการค้ากันแพร่หลายทั่วโลกมานานแล้ว กุหลาบเป็นไม้ตัดดอกที่มีการซื้อขาย เป็นอันดับหนึ่งในตลาดประมูลอัลสเมียประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นตลาดประมูลไม้ดอก ที่ใหญ่ที่สุดของโลก เมื่อ พ.ศ. 2542 มีการซื้อขายถึง 1,672 ล้านดอก และมักจะมียอดขายสูงสุดในประเทศต่าง ๆ เมื่อเปรียบเทียบกับไม้ดอกชนิดอื่น ๆ โดยประเทศที่ปลูกกุหลาบรายใหญ่ของโลกได้แก่ อิตาลี เนเธอร์แลนด์ สเปน สหรัฐอเมริกา โคลัมเบีย เอกวาดอร์ อิสราเอลเยอรมนี เคนยา ซิมบับเว เบลเยียม ฝรั่งเศส เม็กซิโก แทนซาเนีย และมาลาวี เป็นต้น
ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกกุหลาบตัดดอกประมาณ 5,500 ไร่ กระจายอยู่ทั่วทุกภาคของประเทศ แหล่งปลูกที่สำคัญได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ตากนครปฐม สมุทรสาคร ราชบุรี และกาญจนบุรี มีการขยายตัวของพื้นที่มากที่สุดใน อำเภอพบพระ จังหวัดตาก ซึ่งปัจจุบันประมาณว่ามีพื้นที่การผลิตถึง 3,000 ไร่ เนื่องจาก อ.พบพระ มีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสม พื้นที่ไม่สูงชัน และค่าจ้างแรงงานต่ำ (แรงงานต่างชาติ) การผลิตกุหลาบในประเทศไทยอาจแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะคือ การผลิตกุหลาบในเชิงปริมาณ และการผลิตกุหลาบเชิงคุณภาพ การผลิตกุหลาบเชิงปริมาณ หมายถึงการปลูกกุหลาบในพื้นที่ขนาดใหญ่ หรือปลูกในพื้นที่ราบ ซึ่งจะให้ผลผลิตมีปริมาณมาก แต่ผลผลิตไม่ได้คุณภาพ เช่น ดอกและก้านมีขนาดเล็ก มีตำหนิจากโรคและแมลง หรือการขนส่ง อายุการปักแจกันสั้น ทำให้ราคาต่ำ การผลิตชนิดนี้ต้องอาศัยการผลิตในปริมาณมากเพื่อให้เกษตรกรอยู่ได้ ส่วนการผลิตกุหลาบในเชิงคุณภาพ นิยมปลูกในเขตภาคเหนือ และบนที่สูง โดยปลูกกุหลาบภายใต้โรงเรือนพลาสติก ในพื้นที่จำกัด มีการจัดการการผลิตและการปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยวที่ดี ใช้แรงงานที่ชำนาญ ทำให้กุหลาบที่ได้มีคุณภาพดี และปักแจกันได้นาน ตลาดของกุหลาบคุณภาพปานกลางถึงต่ำ (ตลาดล่าง) ในปัจจุบันถึงขั้นอิ่มตัว เกษตรกรขายได้ราคาต่ำมาก ส่วนตลาดของกุหลาบที่มีคุณภาพสูง (ตลาดบน) ผลผลิตในประเทศยังไม่เพียงพอ และขาดความต่อเนื่อง ทำให้ยังต้องนำเข้าดอกกุหลาบจากต่างประเทศ เช่น เนเธอร์แลนด์ และมาเลเซีย เป็นต้น
ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตกุหลาบคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง หากแต่จะต้องผลิตในพื้นที่ที่เหมาะสม คือพื้นที่สูงมากกว่า 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลหากปลูกในที่ราบจะได้คุณภาพดีในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ดังนั้นการผลิตกุหลาบมีแนวโน้มเพิ่มพื้นที่การผลิตบนที่สูงมากขึ้น
                                               มะลิ


                   

         มะลิ (ชื่อวิทยาศาสตร์Jasminumอังกฤษ: Jusmine; อินโดนีเซียMelati) เป็นพรรณไม้ยืนต้น พบได้ในแถบเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลักษณะเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก จนถึงขนาดกลาง บางชนิดมีลำต้นแบบเถาเลื้อย ลำต้นมีความสูงประมาณ 1-3 เมตร ผิวเปลือกลำต้นสีขาวมีสะเก็ดรอยแตกเล็กน้อย ลำต้นเล็กกลมแตกกิ่งก้านสาขาไปรอบ ๆ ลำต้น ใบเป็นใบเดี่ยว แตกใบเรียงกันเป็นคู่ ๆ ตามก้านและกิ่งลักษณะของใบมนป้อม โคนใบสอบเรียว ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบเป็นมันสีเขียวเข้ม ใบกว้างประมาณ 2-3 เซนติเมตร และยาวประมาณ 3-5 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อ ออกตามส่วนยอดหรือง่ามใบ ดอกมีขนาดเล็กสีขาว และมีกลิ่นหอม ดอกมีกลีบดอกประมาณ 6-8 กลีบ เรียงกันเป็นวงกลมหรือซ้อนกันเป็นชั้นแล้วแต่ชนิดพันธุ์ ขนาดดอกบานเต็มที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2-3 เซนติเมตร ผลเป็นรูปกลมรีเล็กเมื่อสุกจะมีสีดำภายในมีเมล็ดอยู่ 1 เมล็ด นอกจากนี้ลักษณะของลำต้นและดอกแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์


ความหมายของงานประดิษฐ์





             

 ความหมายของงานประดิษฐ์

งานประดิษฐ์ หมายถึง สิ่งที่จัดทำขึ้น โดยใช้ความคิด สร้างสรรค์ให้เกิดความประณีต สวยงาม น่าสนใจ เพื่อประโยชน์ที่พึงประสงค์ เช่น งานประดิษฐ์ดอกไม้ ผ้ารองจาน กระเป๋า ตุ๊กตา ที่คั่นหนังสือ กระทงใบตอง บายศรี พานดอกไม้ มาลัยแบบอื่นๆ


2. ความสำคัญและประโยชน์ของงานประดิษฐ์
2.1 ประหยัดค่าใช้จ่าย
2.2 ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
2.3 ความเพลิดเพลิน
2.4 เพิ่มคุณค่าของวัสดุ
2.5 สร้างความแปลกใหม่ที่มีอยู่เดิม
2.6 ชิ้นตรงตามความต้องการ
2.7 เป็นของกำนัลแก่ผู้อื่น
2.8 อนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมไทย
2.9 เพิ่มรายได้ให้แก่ตนเองและครอบครัว
2.10 เกิดความภูมิใจในตนเอง
3 ประเภทของงานประเดิษฐ์
3.1ของใช้ได้แก่สิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต เครื่องใช้ในบ้าน เครื่องใช้ส่วนตัวเป็นต้น
3.2 ของใช้ประดับตกแต่ง นำไปประดับตกแต่งให้เกิดความสวยงามได้แก่ กรอบรูป ดอกไม้ประดิษฐ์ เครื่องแขวน
3.3 ของเล่น มีความสำคัญต่อพัฒนาการของเด็กช่วยให้เจริญเติบโตแข็งแรงมีสุขภาพดี ทั้งกาย จิตใจ สังคมและสติปัญญา
3.4 ของใช้ในงานพิธี สิ่งที่ผลิตที่ประกอบในงานพิธีได้แก่บายศรี พานพุ่ม มาลัย ชนิดต่างๆ

4.คุณค่าของงานประดิษฐ์

4.1 คุณค่าในการใช้สอย การประดิษฐ์ชิ้นงานขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์แรกคือประโยชน์ใช้สอย ต่อมาเกิดความชำนาญ สามารถดัดแปลง ปรับปรุง พัฒนาให้งานประดิษฐ์ต่างๆทันสมัยยิ่งขึ้น
4.2 คุณค่าด้านด้านความงาม ถึงแม้ว่างานประดิษฐ์ เพื่อประโยชน์ใช้สอยก็ตามแต่ผู้ประดิษฐ์ชิ้นงานต่างๆ ก็ไม่ได้มองข้ามความงาม โดยพิจารณาถึงองค์ประกอบต่อไปนี้
4.2.1 สัดส่วน
4.2.2 สมดุล
4.2.3 จังหวะ
4.2.4 จุดเด่น
4.2.5 ความผสมผสานกลมกลืน
4.3คุณค่าการแสดงออกทางศิลปะและอารมณ์
4.4คุณค่าที่เกิดจากลักษณธเฉพาะท้องถิ่นย่อมมีวิธีการเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสมกับ
การใช้สอยและคตินิยมของท้องถิ่น